จากบทความ : ข่าวเด่นแวดวงเกษตรกร
เมื่อวันที่ 7
สิงหาคม
ที่ผ่านมาทางทีมงานได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยือนเกษตรกรต้นแบบที่จังหวัดอุดรธานี
คือพี่งามตา มังคลเสน เกษตรกรต้นแบบชาวไร่อ้อย และนาข้าว
ในครั้งนี้พี่งามตาได้พาเราไปดูแปลง “นาหยอดข้าวแห้ง”
พี่งามตาเล่าให้ฟังว่า ในพื้นที่แถวบ้าน (อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี)
เกือบทั้งหมดเป็นดินร่วนทราย และต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก การทำนาต้องฝากไว้กับฟ้า
กับฝน ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะตกต้องตามฤดูกาล เดี๋ยวมาเร็วบ้าง ช้าบ้าง มากจนท่วม
หรือมาน้อยจนแล้ง ซึ่งเราควบคุมไม่ได้เลย
ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการที่เราเคยทำอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติจะง่ายกว่า
เมื่อสมัยก่อนการทำนาโดยทั่วไปจะทำนาดำ
แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้แรงงานหายาก ราคาแพง
จึงเปลี่ยนมาทำนาหว่านข้าวแห้งกันส่วนมาก
แต่การทำนาหว่านจะต้องเสี่ยงกับศัตรูพืชเข้าระบาดได้ง่ายเพราะข้าวจะขึ้นแน่นเกินไป
การระบายอากาศในแปลงไม่ดี เรียกได้ว่าเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลงเลยทีเดียว
ครั้นจะลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ลง ก็เสี่ยงจากนก
หนูที่จะต้องมาแบ่งเมล็ดพันธุ์ไปเป็นอาหาร
และก็ยังมีสภาพอากาศที่แปรปรวนมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง
จึงคิดหาวิธีการในการปลูกข้าวแบบใหม่ นั้นก็คือ “นาหยอดข้าวแห้ง” ซึ่งก็เริ่มมีการใช้วิธีนี้กันบ้างแล้วในบางพื้นที่
แต่ยังไม่แพร่หลาย
จุดที่น่าสนใจของการทำนาหยอดก็คือ ลดปัญหานกหนูมารบกวนเมล็ดพันธุ์ เพราะเครื่องหยอดสามารถฝังเมล็ดพันธุ์ได้ลึกถึง 10 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังเป็นตำแหน่งที่มีความชื้นดินเหมาะสม และป้องกันข้าวล้มได้ดี จุดสำคัญของการทำนาหยอดคือข้าวจะขึ้นเป็นแถว มีช่องว่างพอที่จะให้ข้าวแต่ละเมล็ดมีพื้นที่การเจริญเติบโตได้เต็มที่ และยังมีระยะใต้ทรงพุ่มทำให้อากาศระบายได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาศัตรูพืชได้มาก ส่วนเรื่องปัญหาสภาพอากาศนั้นก็ลดไปได้บางส่วนเนื่องจากเครื่องหยอดทำงานได้เร็วคือ ประมาณ 15-20 ไร่ต่อวัน ทำให้ทำงานได้ทันในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรียกได้ว่าทันฟ้า ทันฝน เพราะการเตรียมเมล็ดก็ไม่ยุ่งยากเพราะหยอดข้าวแห้ง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากสามารถบรรจุเมล็ดพันธุ์ใส่เครื่องหยอดและนำไปปลูกได้ทันที และที่สำคัญใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 10 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น
ในการทำนาหยอด ขั้นตอนแรกให้ไถเตรียมแปลง แล้วรอจนฝนตกลงมาพอดินชื้น เมื่อแน่ใจว่าความชื้นดินเพียงพอแล้ว ให้ไถพรวนด้วยจอบหมุนอีกครั้งเพื่อกำจัดวัชพืช ย่อยดิน และปิดความชื้น หลังจากเตรียมแปลงเสร็จสามารถนำเมล็ดพันธุ์บรรจุใส่เครื่องหยอดและทำการหยอดได้ทันที ทดสอบบนพื้นดินโดยไม่ต้องฝังเมล็ดก่อนเพื่อดูอัตราการหยอดของเมล็ด เพราะสภาพเมล็ดที่แตกต่างกันจะทำให้อัตราการหยอดไม่เท่ากัน การจะหยอดได้สม่ำเสมอนั้นต้องเตรียมดินให้ละเอียด ปรับพื้นที่ให้ราบเรียบ โดยการใช้จอบหมุนปั่น 1-2 ครั้งก็เพียงพอ
จุดที่น่าสนใจของการทำนาหยอดก็คือ ลดปัญหานกหนูมารบกวนเมล็ดพันธุ์ เพราะเครื่องหยอดสามารถฝังเมล็ดพันธุ์ได้ลึกถึง 10 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังเป็นตำแหน่งที่มีความชื้นดินเหมาะสม และป้องกันข้าวล้มได้ดี จุดสำคัญของการทำนาหยอดคือข้าวจะขึ้นเป็นแถว มีช่องว่างพอที่จะให้ข้าวแต่ละเมล็ดมีพื้นที่การเจริญเติบโตได้เต็มที่ และยังมีระยะใต้ทรงพุ่มทำให้อากาศระบายได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาศัตรูพืชได้มาก ส่วนเรื่องปัญหาสภาพอากาศนั้นก็ลดไปได้บางส่วนเนื่องจากเครื่องหยอดทำงานได้เร็วคือ ประมาณ 15-20 ไร่ต่อวัน ทำให้ทำงานได้ทันในช่วงเวลาที่เหมาะสม เรียกได้ว่าทันฟ้า ทันฝน เพราะการเตรียมเมล็ดก็ไม่ยุ่งยากเพราะหยอดข้าวแห้ง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากสามารถบรรจุเมล็ดพันธุ์ใส่เครื่องหยอดและนำไปปลูกได้ทันที และที่สำคัญใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 10 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น
ในการทำนาหยอด ขั้นตอนแรกให้ไถเตรียมแปลง แล้วรอจนฝนตกลงมาพอดินชื้น เมื่อแน่ใจว่าความชื้นดินเพียงพอแล้ว ให้ไถพรวนด้วยจอบหมุนอีกครั้งเพื่อกำจัดวัชพืช ย่อยดิน และปิดความชื้น หลังจากเตรียมแปลงเสร็จสามารถนำเมล็ดพันธุ์บรรจุใส่เครื่องหยอดและทำการหยอดได้ทันที ทดสอบบนพื้นดินโดยไม่ต้องฝังเมล็ดก่อนเพื่อดูอัตราการหยอดของเมล็ด เพราะสภาพเมล็ดที่แตกต่างกันจะทำให้อัตราการหยอดไม่เท่ากัน การจะหยอดได้สม่ำเสมอนั้นต้องเตรียมดินให้ละเอียด ปรับพื้นที่ให้ราบเรียบ โดยการใช้จอบหมุนปั่น 1-2 ครั้งก็เพียงพอ
ปัจจุบันแถวนี้กำลังได้รับความนิยม แต่ละปีจะมีคนมาติดต่อพี่งามตา ให้ไปปลูกให้จนจัดคิวไม่ทัน เพราะได้เห็นแปลงตัวอย่างที่ข้าวขึ้นเป็นแถวเป็นแนว สวยงาม และที่สำคัญประหยัดต้นทุน และได้ผลผลิตไม่แพ้นาดำเลยทีเดียว